รถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

รถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์
BYD BD Auto Group

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวข้ามไปสู่การใช้พลังงานที่สะอาดและยั่งยืนมากขึ้น รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการยานยนต์โลก เป็นกลุ่มรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยไม่ต้องการเชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันดิบหรือน้ำมันที่เผาไหม้ การใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการขับขี่ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือเรียกว่า “EV (Electric Vehicle)” เป็นนวัตกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน และสามารถชาร์จไฟได้อย่างต่อเนื่องเมื่อแบตเตอรี่หมด ส่วนประกอบหลักของรถยนต์ไฟฟ้าได้แก่ แบตเตอรี่ อุปกรณ์แปลงกระแสไฟฟ้าและมอเตอร์ไฟฟ้า

การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มต้นจากแบตเตอรี่ที่เก็บพลังงานไฟฟ้า ตัวแปลงกระแสไฟฟ้าจะดึงพลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสสลับและส่งไปยังมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนรถยนต์

ด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวทำให้เกิดการขับเคลื่อนอย่างนุ่มนวลและเงียบสงบ รถยนต์พลังงานไฟฟ้าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก ไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมบำรุงหรือค่าพลังงาน เนื่องจากพลังงานไฟฟ้ามีราคาต่ำกว่าเชื้อเพลิง นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังสามารถตอบสนองการขับขี่ได้อย่างมีความรวดเร็วเพราะมอเตอร์ไฟฟ้าสั่งการให้เกิดการขับเคลื่อนได้ทันที และที่สำคัญอีกอย่างคือรถยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยมลภาวะทางอากาศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

มาทำความรู้จักว่ารถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร?

รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV (Electric Vehicle) เป็นประเภทของรถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยไม่ต้องใช้เชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันดิบหรือน้ำมันที่เผาไหม้ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้าทำงาน มอเตอร์ไฟฟ้าจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนล้อให้เคลื่อนที่ รถยนต์ไฟฟ้าไม่สร้างมลพิษจากการเผาไหม้น้ำมันเช่นเดียวกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง ทำให้เป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในการขับขี่ในยุคปัจจุบัน การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดการใช้งานน้ำมันที่เป็นทรัพยากรที่น่าสนใจและลดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษารถยนต์ด้วย ทำให้เป็นที่นิยมในชุมชนที่ให้ความสำคัญกับการสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรและมีความยั่งยืนในการใช้พลังงาน

หลักการทำงานของรถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้าทำงานโดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน แบตเตอรี่จะเป็นแหล่งพลังงานหลักที่จะใช้ในการทำให้รถยนต์เคลื่อนที่ โดยรถยนต์จะมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่ติดตั้งอยู่ภายใน เมื่อมีกระแสไฟฟ้าถูกส่งไปยังมอเตอร์ มันจะทำให้มอเตอร์หมุน และทำให้ลูกบอลหรือเฟืองโยกเข้ามาติดกับช่องสตาเตอร์ เป็นต้นทางการขับเคลื่อนรถ

สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ ส่วนใหญ่จะใช้ไฟฟ้าจากปลั๊กเชื่อมต่อกับรถหรือจากสถานีชาร์จ โดยการจะทำให้กระแสไฟฟ้าถูกส่งเข้าไปในแบตเตอรี่ เพื่อเติมพลังงานให้กับแบตเตอรี่ ทำให้รถพร้อมใช้งานได้ตามปกติ

ในบางกรณี รถยนต์ไฟฟ้ายังมีระบบที่เรียกว่า ระบบเบรกเนอร์รีเจเนอร์เรชัน (Regenerative Braking System) ซึ่งช่วยให้พลังงานที่กำลังใช้งานหรือเมื่อเบรกจอด ถูกกลับส่งเข้าสู่แบตเตอรี่เพื่อเพิ่มพลังงานให้แบตเตอรี่อีกครั้ง ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและเพิ่มระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้

รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ข้อดีของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

  1. การตอบสนองดี : รถยนต์ไฟฟ้ามีอัตราการตอบสนองที่ดีในเรื่องของความเร็ว ซึ่งทำให้ผู้ขับสามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างสะดวกและเต็มที่
  2. การเงียบ : การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าเงียบสงบ เป็นเหตุผลที่ทำให้หลายคนชื่นชม และเห็นว่าเป็นทางเลือกที่ดีในอนาคต
  3. ประหยัดค่าใช้จ่าย : รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้หลายคนตัดสินใจเลือกใช้
  4. ค่าบำรุงรักษาต่ำ : การซ่อมบำรุงและดูแลรถยนต์ไฟฟ้ามีค่าใช้จ่ายต่ำ เนื่องจากมักจะไม่มีค่าบำรุงที่สูงมากเหมือนกับรถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมัน
  5. การรักษาสิ่งแวดล้อม : รถยนต์ไฟฟ้าช่วยลดมลภาวะในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมในทางตรงต่อโลก

นี่เป็นข้อดีหลักๆ ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้มีผู้คนหลายคนให้การสนับสนุนและสนใจในการใช้งาน

ข้อเสียของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า

  1. ราคาสูง : รถยนต์ไฟฟ้ามักมีราคาสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้พลังงานน้ำมัน แม้ว่ารัฐบาลจะให้การช่วยเหลือในการลดราคาก็ตาม
  2. สถานีเติมไฟ : ยังมีข้อจำกัดในการเติมพลังงานเพราะสถานีเติมไฟยังไม่แพร่หลาย ทำให้การเดินทางไกลๆ อาจมีความยุ่งยาก
  3. เวลาในการชาร์จ : รถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาในการชาร์จนานกว่าการเติมน้ำมัน ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้รถเดินทางไกลๆ
  4. ความเสี่ยงจากระบบไฟฟ้า : มีความเสี่ยงจากระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งอาจต้องการการเช็คและการดูแลเพิ่มเติมอย่างสม่ำเสมอ
  5. ระยะการวิ่ง : รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะการวิ่งสูงสุดที่จำกัด ผู้ใช้จึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีระยะการวิ่งเพียงพอสำหรับการเดินทางที่ต้องการ

เหล่านี้เป็นข้อเสียหลักๆ ของการใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่ผู้คนต้องพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจใช้งาน

รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

รถยนต์ไฟฟ้าสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามชื่อเรียกและกลุ่มของการใช้พลังงานในการขับเคลื่อน ตั้งแต่การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว จนถึงการใช้ระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อนและยังมีรถยนต์ชนิด Fuel Cell Vehicles (FCV) ซึ่งขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน ในปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าสามารถแบ่งตามเทคโนโลยีออกเป็น 3 ประเภทได้แก่

  1. รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (Hybrid Electric Vehicles : HEV) : รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานผสมที่ใช้ทั้งระบบไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อขับเคลื่อน มักจะมีระบบการกู้พลังงานจากการเบรกชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่รถหยุดอยู่ ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้พลังงานไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้น
  2. รถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (Plug-in Hybrid Electric Vehicle : PHEV) : รถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสองแห่งที่ใช้แบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าในระยะสั้น และใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการสำรองหรือใช้เป็นพลังงานในระยะไกล
  3. รถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แหล่งพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวในการขับเคลื่อน (Plug-in Electric Vehicles : PEVs) : รถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้จะคล้ายคลึงกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) เพียงแต่จะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักเพียงอย่างเดียว เมื่อแบตเตอรี่หมดลงจะต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จประจุใหม่ สามารถแยกตามการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าประเภทนี้ ได้ดังนี้
    1. รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้วิ่งในระยะสั้นหรือในละแวกใกล้เคียง : มีช่วงการขับขี่ต่ำและทำงานที่ความเร็วต่ำ ตัวอย่างเช่น GEM Electric Motorcar
    2. Battery Electric Vehicles (BEV) : รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวในการขับเคลื่อน โดยไม่มีการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงใดๆ เป็นตัวจัดเก็บพลังงานสำคัญในการทำงาน
    3. ยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV, Fuel Cell Electric Vehicle) : ไฟฟ้าที่มีเซลล์เชื้อเพลิง เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้พลังงานมาจากเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) โดยเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนจากภายนอก มีความจุพลังงานจำเพาะที่สูงกว่าแบตเตอรี่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เชื่อว่าเป็นคำตอบที่แท้จริงของพลังงานสะอาดในอนาคต แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อจำกัดอย่างสถานีเชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Hydrogen Fuel Station) มีน้อยมาก เหมือนที่รถ BEV มี Charging Station ที่น้อยเมื่อหลายปีก่อน
รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV

ข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้า

  1. ค่าเชื้อเพลิงมีราคาไม่แพง : รถ EV มีค่าตัวที่ไม่สูงมากเพราะใช้พลังงานไฟฟ้าที่ชาร์จได้จากประจุไฟฟ้า ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเติมพลังงานน้อยกว่ารถที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน
  2. เครื่องยนต์ทำงานเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน : รถ EV ไม่มีการจุดระเบิดเชื้อเพลิงทำให้มีเสียงที่เงียบสงบกว่ารถที่ใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน
  3. รักษาสิ่งแวดล้อม : การทำงานเป็นระบบไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษและมีความสะอาดกว่าการใช้เชื้อเพลิงน้ำมัน

ข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้า

  1. ราคาสูง : การผลิตและการวางจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าต้องใช้เทคโนโลยีที่มีราคาสูง ซึ่งทำให้ราคาของรถ EV มีแนวโน้มที่จะสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทั่วไป
  2. ระยะทางการขับขี่จำกัดและจำนวนสถานีชาร์จน้อย : รถ EV ต้องการพลังงานจากแบตเตอรี่ และการประสานงานระหว่างสถานีชาร์จนั้นยังมีจำนวนที่จำกัด ทำให้ระยะทางการขับขี่ของรถ EV มีข้อจำกัดและจำนวนสถานีชาร์จไฟฟ้าที่น้อย
  3. ระยะเวลาในการชาร์จและขั้นตอนในการชาร์จ : การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ EV อาจใช้เวลานานและต้องมีขั้นตอนที่ซับซ้อน เช่น บางรุ่นต้องใช้เวลาชาร์จถึง 4 ชั่วโมง หรือต้องใช้เวลาเพิ่มเติมในการเตรียมการก่อนชาร์จ
  4. ตัวเลือกยังน้อย : ในปัจจุบันมีหลายรุ่นรถ EV ที่ออกสู่ตลาด แต่ตัวเลือกยังมีน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทั่วไป ทำให้ผู้บริโภคต้องเลือกใช้รถ EV ให้ตรงกับความต้องการและสภาพการใช้งานของตนเองอย่างเห็นใจ
รถยนต์ไฟฟ้าคืออะไร? พร้อม 3 ประเภทเทคโนโลยีการขับเคลื่อนในรถยนต์

สรุป

รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV คือ รถยนต์ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้าเป็นหลักในการขับเคลื่อน โดยไม่ต้องการเชื้อเพลิงที่เป็นน้ำมันดิบหรือน้ำมันที่เผาไหม้ เทคโนโลยีการขับเคลื่อนของรถยนต์ EV ต่างจากรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงโดยปกติ โดยที่รถยนต์ EV จะใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ในการทำงาน ต่างจากรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงที่ต้องได้มาจากการเผาไหม้และกำเนิดก๊าซเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่รถยนต์ EV ไม่มีการปล่อยมลภาวะใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมผ่านทางไอเสียของเครื่องยนต์ที่เผาไหม้ การขับเคลื่อนรถยนต์ EV ยังสามารถทำได้อย่างนุ่มนวลและเงียบสงบมากขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงโดยปกติที่มีเสียงดังและมลภาวะเสียง

ความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงเกิดที่เครื่องยนต์ รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถ ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำงานได้โดยการให้กระแสไฟฟ้าผ่านมัน ซึ่งจะทำให้เกิดการขับขี่ที่นุ่มนวลและเงียบสงบมากขึ้น เมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เชื้อเพลิง ที่มีการเผาไหม้และสร้างก๊าซเสียที่ทำให้เกิดเสียงดังและมลภาวะเสียงในระหว่างการใช้งาน นอกจากนี้รถยนต์ EV ยังสามารถทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในด้านการบำรุงรักษาและการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีราคาน้อยกว่าการใช้เชื้อเพลิงในรถยนต์ทั่วไป

คำถามที่พบบ่อย

รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางการขับขี่ที่เท่าไหร่?

รถยนต์ไฟฟ้ามีระยะทางขับขี่ที่ขึ้นอยู่กับรุ่นและเทคโนโลยีของรถ โดยทั่วไปแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าสามารถขับขี่ได้ในระยะทางประมาณ 300 ถึง 500 กิโลเมตร ก่อนที่จะต้องชาร์จแบตเตอรี่ใหม่อีกครั้งโดยเฉลี่ย

รถยนต์ไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่ใช้เวลานานเท่าไหร่?

การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาในการประจุไฟฟ้าขึ้นอยู่กับประเภทของชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ด้วย โดยทั่วไปแล้ว การชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าใช้เวลาตั้งแต่ 30 นาที ถึง 8 ชั่วโมง ตามรุ่นและระบบการชาร์จที่ใช้งาน

สถานีชาร์จไฟฟ้ามีให้บริการมากพอสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วหรือยัง?

สถานีชาร์จไฟฟ้ามีให้บริการมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากมีการเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าในท้องตลาด และความต้องการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่และพื้นที่ที่มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามาก เช่น กรุงเทพมหานคร ชลบุรี ภูเก็ต และอื่นๆ ที่มีการลงทุนในสถานีชาร์จไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างมีความสะดวกสบายและเพียงพอ

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่เพื่อให้ใช้งานได้นานขึ้น ดังนี้

  1. ไม่จำเป็นต้องชาร์จทุกวัน : เพราะการชาร์จทำให้เกิดความเครียดขึ้นในแบตเตอรี่ ส่งผลให้ปริมาณการกักเก็บลดลง จึงควรชาร์จไฟเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น
  2. ไม่ควรปล่อยให้แบตเหลือ 0% : เนื่องจากเป็นการทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จนเกิดความร้อนสูง และเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
  3. พยายามไม่ชาร์จจนเต็ม 100% : เพราะทำให้อายุการใช้งานลดลงได้เหมือนกัน อย่างน้อยควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ในช่วง 20-80% กำลังดี
  4. เลี่ยงการจอดในที่อุณหภูมิสูงและไม่ควรชาร์จรถทิ้งไว้ในที่อุณหภูมิสูง : เพื่อให้ระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานตามปกติ โดยที่ไม่มีการรบกวนจากภายนอกมากเกินไป

ติดต่อเรา

บทความที่น่าสนใจ

SEALION 7 Interior 01 (Web H)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชันหยุดและออกตัว หรือ Adaptive Cruise Control with Stop and Go (ACC-S&...
SEALION 7 Interior 01 (Web H)
ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถผ่านในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง หรือ Rear Cross Traffic Brake (RCTB) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาเพื...
SEALION 7 Interior 01 (Web H)
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน หรือ Hill Descent Control (HDC) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้อง...
รถยนต์ไฟฟ้า BYD ATTO 3
เมื่อพูดถึงการเดินทางสู่เกาะหลีเป๊ะ หลายคนอาจนึกถึงการดำน้ำและกิจกรรมทางทะเล แต่ครั้งนี้เราขอพาคุณสัมผัสประสบการณ์ใหม่ด้...
รถยนต์ไฟฟ้า BYD Dolphin
สำหรับครอบครัวที่กำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่กว้างขวาง ความปลอดภัย หรือฟีเจอร์ที่ทันสมัย...
SEALION 7 Interior 01 (Web H)
ระบบเบรกมือไฟฟ้า หรือ Electric Parking Brake (EPB) เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ระบ...
กำลังเพิ่มข้อมูล